[Li in Lamphun] : ตามรอยคิดถึงวิทยา Day 2/2 ณ ตรงนั้น ที่คิดถึงวิทยา


 มันเป็นเช้าที่หนาว หนาว และ หนาวมากๆ เป็นเช้าที่ตื่นขึ้นมาแบบไม่ต้องพึ่งพานาฬิกามือถือ
 เป็นเช้าที่ถูกปลุกด้วยเสียงเพลง เสียงเพลงจากเรือที่ล่องกลับมาจากจังหวัดตาก  
และเสียงของเครื่องปั่นไฟที่กลับมาทำงานอีกครั้ง.
ในตอนเช้า





วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่อยู่ที่เรือนแพแก้งก้อ เป็นวันที่ 2 ที่ยังคงมีกันแค่ เรา 3 คน ถ้าไม่นับกลุ่มคนที่กำลังลงมาจากเรือลำนั้น  

วันนี้เราจะไปตามรอยครูแอน !! 


บ้านของเครื่องปั่นไฟที่มันกลับมาทำงานอีกครั้ง


เช้านี้เรายังคงมาฝากท้องไว้กับร้านอาหารร้านเดียวที่มีอยู่ตรงเดียวในแพแห่งนี้  และแม่ครัวเรือนแพนี้ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพราะ  อากาศหนาวๆ แบบนี้ไม่มีอะไรเหมาะไปกับข้าวต้มร้อนๆอีกแล้วววว  
ช่างเป็นข้าวต้มที่ฟินมากกกกกก 


เมื่อท้องเราอุ่น เราก็เริ่มออกเดินทาง...
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางด้วยยานพาหนะที่นานๆที๊ จะได้มีโอกาสสัมผัส 

"เรือ" !   

เรือยนต์สีขาวที่ลำเล็ก มีเจ้าหน้าที่ใจดี และลูกชายที่ตัวกลม
เรือที่จะพาเราไป  "ห้องเรียนสาขาเรือนแพ  โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร" 
 โรงเรียนที่ครูสองและครูแอนเคยมา และพวกเราก็ต้องตามมา 



และมันก็เริ่มต้นขึ้น ...... 

เรือสีขาว 
เรา 3 คน 
เจ้าหน้าที่ใจดี 
ลูกชายตัวกลม
กล้อง 2 ตัว  และ ไอโฟน 1 เครื่อง 







ระหว่างที่นั่งอยู่ในเรือ สีของท้องฟ้า และ การลำดับสลับไล่กันของภูเขาก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งตามระยะทาง ทั้งตามตัวเลขนาฬิกาที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอไอโฟน จากเช้าเป็นสาย จากหมอกหนักๆกลายเป็นหมอกจางๆ และอากาศหนาวๆก็กลายเป็นแค่เย็นๆ สายๆหน่อยก็เริ่มอุ่นขึ้น

เสียงมอเตอร์เรือยังคงดังอย่างต่อเนื่อง 
เราคงต้องนั่งดูการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไป อีกเกือบๆ 60 นาที ได้ละมั้ง 




พอผ่านไปสักระยะ เราก็เริ่มมองเห็นบ้านเรือนผู้คน  เรากำลังจะได้เรียนรู้นี้ "วิถีชีวิตในเขื่อน" ซินะ 
แปลกตาไปอีกแบบ ไม่เคยคาดคิดเหมือนกันว่าในเชื่อนจะมีคนอาศัยอยู่ได้ ไม่ใช่แค่มีบ้านนะ ไม่ใช่แค่จับปลา แต่เขามีเลี้ยงวัวกันอีกด้วย 

โรงเรียนเรือนแพ ก็มีไว้ให้พวกเขานี่แหละ ฉันคิดว่า 









ในระหว่าง 60 นาที บางนาทีก็คิดออกไปไกลโพ้นทะเล เพ้อละเมอคิดว่าตัวเองกำลังล่องเรือสำราญอยู่ในทวีปยุโรป  นี่ฉันกำลังอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ใช่มะ ? 

จินตนาการนี้มันสุดๆละ ฟินนนน








เกือบร่วมชั่วโมงที่เรานั่งอยู่กับตัวเอง ฟังเสียงตัวเอง แม้เสียงเครื่องยนต์ท้ายเรือจะดังกว่า 
แต่มันไม่ไ้ด้รบกวนความสงบอะไรของใจเราเลย 

แต่อยู่ดีๆมันก็ 'พรึบ !!' ความสงบที่มีมาเกือบร่วมชั่วโมง หายวับไปกับตา 
เพียงแค่ภาพตรงหน้าปรากฏชัดเจนขึ้น 

จุดหมายปลางทางของการเดินทางในครั้งนี้ 

โรงเรียนเรือนแพที่ฉันตามหา 
ที่ฉันแอบคิดมาตลอดว่ามันน่าจะอยู่ที่ภาคใต้สักจังหวัด

และตอนนี้ฉันกำลัง  ตื้นเต้น !! 






เวลามา โรงเรียน สิ่งที่แรกที่เรานึกถึงคือครูหน้าโรงเรียน ครูที่คอยยืนทักทายเด็กๆ ครูที่เด็กๆคอยยกมือไหว้ และ เซย์ไฮสวัสดี 

แต่ไม่ใช่กับที่นี้ในเวลานี้ ในวันอาทิตย์ที่พวกเรามา วันที่เราลืมไปว่ามันเป็นวันหยุด 

แต่ถึงจะ รร จะหยุด เราก็ยังเจอ ครูหน้าโรงเรียนนะ 
เราคิดว่า 'มัน' คงคิดว่ามันเป็นครูหน้าโรงเรียนไปซะละ 
เล่นมายืนจังก้า เป็นหน้าด่านประตูซะขนาดนี้ 

หมาจิกโก๋ !! 

เราต้องสวัสดีครูไหมคะ ? 





".... โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร เดิมทีอยู่บนบก แต่ภายหลังการก่อสร้างเขื่อนภูมิพล ในปี 2536 จึงขยายโอกาส เปิดอีกสาขาบนเรือนแพกลางน้ำเหนือเขื่อน เพื่อให้ลูกหลานชาวประมงที่มีกว่า 30 ครัวเรือน   ได้มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ เป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวในประเทศที่จัดการเรียนการสอนกันกลางน้ำ และเป็นโรงเรียนที่ใกล้ที่สุดในระยะทางหลายลี้ (ตามชื่ออำเภอ) ที่บรรดาชาวประมงจะสามารถพายเรือพาลูกหลานมาส่งให้ครูมาดดูแลในเช้าวันจันทร์ ก่อนที่จะมารับกลับอีกครั้งในเย็นวันศุกร์ โรงเรียนแห่งนี้จึงมีสถานะเป็นโรงเรียนประจำไปโดยปริยาย  



  
โรงเรียนเรือนแพแห่งนี้เป็นโรงเรียนกินนอนที่ต้องย้ายจุดไปตามฤดูกาล เรือนแพขนาด 9x18 เมตร  มีห้องเรียน 1 ห้องสำหรับนักเรียน 7 คน ซึ่งแต่ละคนเรียนอยู่คนละระดับชั้นกัน (มีตั้งแต่อนุบาลถึงป.6) เวลาสอนครูจึงต้องสอนนักเรียนแยกทีละคน ในตอนกลางคืน ห้องเรียนนี้ก็จะกลายสภาพเป็นห้องนอนสำหรับเด็กๆและครู นอกจากนี้ยังมีลานกิจกรรม ที่เป็นทั้งที่วิ่งเล่น เป็นโรงอาหาร เป็นแปลงเกษตรลอยน้ำ สำหรับเรียน “วิชาชีวิต” และครูมาดยังสอนเด็กๆว่ายน้ำ (สระว่ายน้ำโรงเรียนนี้ ใหญ่ที่สุดในโลก...) เพื่อให้เด็กๆได้ใช้ในการดำรงชีวิต เนื่องจากเด็กเหล่านี้เป็นลูกหลานชาวประมง 




    เนื่องจากครูมาดเป็นครูเพียงคนเดียวของที่นี่ จึงทำหน้าที่ทั้งครู พ่อครัว หมอ และภารโรงไปพร้อมๆกัน ในโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีทั้งเบี้ยเลี้ยง เงินพิเศษ และค่าโอที
“ผมเป็นครูชุดที่ 9 ที่เข้ามาสอนในโรงเรียน ตอนนี้เป็นครูคนเดียวที่สอนนักเรียนตั้งแต่อนุบาลถึงป.6 โรงเรียนไม่มีไฟฟ้า อาศัยน้ำฝนไว้ดื่มกิน ต้องเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาตามกระแสน้ำโดยมีธรรมชาติเป็นผู้กำหนด ฤดูฝนย้ายไปที่อ.สามเงา จ.ตาก พอลมหนาวมาต้องย้ายไปซุกเหลี่ยมเขาที่อ.ลี้ จ.ลำพูน”
ระยะเวลาต่อเนื่องกว่า 8 ปีที่ได้ปฏิบัติภารกิจอันหนักอึ้งนี้ ทำให้ครูมาดเป็นครูที่ทำหน้าที่มายาวนานเกินกว่าสถิติที่ครูทั้ง 8 คนก่อนหน้าเคยทำไว้ (สถิติสูงสุดอยู่ที่ 3 เดือน...
“เคยมีครูหลายคนมาสอน แต่อยู่ไม่ได้ต้องลาออกไป ส่วนตัวผมนั้นจนถึงเวลานี้ยังไม่ท้อและไม่คิดจะออกไปไหน เพราะเด็กที่เราปั้นมากับมือ อยากจะสอนและช่วยเหลือเขาให้ได้โอกาสทางการศึกษา เหมือนกับผมที่ครั้งหนึ่งได้รับโอกาสทำให้ได้เรียนจนจบปริญญาตรี ผมมีโอกาสอยากจะถ่ายทอดโอกาสทางการศึกษานี้ต่อไปอีกทอด ผมไม่สนใจความสบาย เราหาเมื่อไรก็ได้ แต่การให้โอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลนั้นยังมีน้อย และผมอยากทำให้เห็นว่าไม่ว่าจะไกลเพียงใดก็สามารถจัดการศึกษาสำหรับเด็กได้”  .... " 

(ตัดตอนมาจาก : http://www.thaidentalmag.com/dent-campus-detail.php?type=4&id=382)


พวกเราใช้เวลาซีบซับบรรยากาศของเรือนสีฟ้าหลังนี้ซักพัก  
เดินดูนู่นดูนี่ โดยมี ครูประจำวันนี้ เดินตามอยู่ตลอดเวลา 


จนกระทั่งคุณครูเผลอหลับไป 

เด็กอะไรดุคุณครู 
ฉันขี้เกียจเถียงละ  
หลับดีกว่า ...Zzzz


ตัวเราเองถึงรู้สึกได้ว่า ถึงเวลาที่ควรลากลับซะที






เรามักจะเจอสถานที่ดีๆ เมื่อเรารู้จักที่จะค้นหามัน 

ที่แห่งนี้มันอาจไม่ใช่สถานที่ที่ใหญ่ ไม่ใช่สถานที่ที่มีอะไรให้ดูมากมาย 
แต่มันมีเรื่องราว มีความอบอุ่น และมีความหมาย
เป็นที่ของ ครูคนนึง กับ เด็กอีกหลายชีวิต 
ที่จันทร์ ถึง ศุกร์ พวกเขาใช้ชีวิตที่นี้
เป็นที่ที่ ครูคนนึง ให้โอกาสเด็กอีกหลายคนได้เรียนรู้ 
และให้โอกาสเราได้มาเข้าใจ ได้มาสัมผัส ในสิ่งที่เราไม่เคยนึกเลยว่าจะมีอยู่จริง 


เป็นที่ที่เจ๋งอะ :)




Comments