[Li in Lamphun] : ตามรอยคิดถึงวิทยา Day1/2 แก้งก้อ ก้อหลวง ที่เราสบายใจ


"รร. นี้มีเด็กที่ 4 คนครับ แถมเรียนคนละชั้น สอนที่นี้ไม่เหนื่อยอย่างที่คิดครับ แต่เหงา"  ครูสอง        

"วันแรกของการโดนเนรเทศ โคตรเข้าใจหัวอกแดจังกึมตอนถูกเฉดหัวไปเกาะเซจู" ครูแอน

'เป็นไปได้ไหมที่เราจะรักคนที่ไม่เคยเจอ ?' Trailer ของคิดถึงวิทยาถามคำถามนี้ไว้ให้กับคนดู 


แต่สำหรับฉัน ตอนนั้นฉันกำลังถามตัวฉันเองว่า

'เป็นไปได้ไหมที่โรงเรียนในหนังจะมีจริงและเป็นไปได้ไหมที่ตัวเองจะเจอกับความรู้สึกแบบแดจังกึม !'



และแล้วความบังเอิญโลกกลมพรหมลิขิต หรือ ดวงซวยจะเสียตังค์ ก็ทำให้ฉันเจอกับ 'สถานที่ถ่ายทำโรงเรียนคิดถึงวิทยา' โรงเรียนเรือนแพ ที่แก้งก้อ อุทยานแห่งชาติแม่ปิง อำเภอลี้  จังหวัดลำพูน

จากบทความนึงที่พูดถึงชีวิตของ คุณครูสามารถ ครูเรือนแพ  กล่าวว่า " ความสุขของการเดินทางไม่ได้มีไว้แค่สำหรับจุดหมายปลายทาง แต่กับเรื่องเล่าระหว่างทางเอง..ก็เช่นกัน"


การเดินทาง 2 วัน 1 คืน กับ คน 3 คน และ Nissan march จึงเกิดขึ้น
เราเริ่มต้นการเดินทางจากเชียงใหม่ในวันเสาร์เช้าในฤดูหนาวเดือนธันวาคม ที่เหมือนจะหนาว  พึ่งพาทางหลวงเบอร์ 106 วิ่งเข้าสู่จังหวัดลำพูน ยาวไป อ.ลี้ และ วิ่งตัดเข้าเส้น 1087 เพื่อจบที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ที่ที่ปลายทางของเราตั้งอยู่


เรื่องเล่าระหว่างทาง ....


วันแรกของการเดินทาง เราเริ่มต้นการเดินทางจากเชียงใหม่ในวันเสาร์เช้าในฤดูหนาวเดือนธันวาคม ที่เหมือนจะหนาว พึ่งพาทางหลวงเบอร์ 106 วิ่งเข้าสู่จังหวัดลำพูน ยาวไป อ.ลี้ และ วิ่งตัดเข้าเส้น 1087 เพื่อจบที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ที่ที่ปลายทางของเราตั้งอยู่

อ.ลี้ เป็น อำเภอที่มีเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของจังหวัดลำพูน มีเนื้อที่ทั้งหมด 1,702.12 ตารางกิโลเมตร สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่สูง ส่วนมากเป็นภูเขาต้นน้ำลำธารหรือลำห้วย แม่น้ำหรือลำห้วยเกือบทุกสายไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำลี้ แล้วไหลลงสู่แม่น้ำปิงที่บ้านวังสะแกง เขตอำเภอเวียงหนองล่อง  จากเชียงใหม่เข้าสู่ตัว อ.ลี้ ใช้เวลา ประมาณ 2-3 ชั่วโมง

และประสบการณ์ใหม่ของฉันก็เริ่มต้นที่ด่านตรวจรถเข้าอำเภอ   รถเราถูกทหารค้น !!
ตอนโดนเชิญลงจากรถใจนี่เต้นระรัว คิดไปไกลถึงหนัง ถึงละคร ที่อยู่ดีๆเปิดรถมาเจอยา เจออาวุธ หรือระเบิดซุกอยู่อย่างไม่รู้ตัว พวกเราทำได้แต่ยืนพิงเสา มองดูคุณๆทหารค้น ค้น ค้น ค้นของ ในรถ ในขณะที่รถคันอื่นหน้าพากันผ่านไปอย่างสวยๆ ....คือไร๊ !!!  ฉันเองก็แอบสงสัยว่า คุณๆทหาร จะมาสงสัยในหนังหน้าที่ดูซื่อ(บื้อ) ไร้พิษภัย อย่างพวกเราสามคนทำไม หน้าตาน่ารักอย่างพวกเราจะไปทำอันตรายอะไรกับคนในชุมชนกระเหรี่ยงได้


หลังจากรอดพ้นจากการด่านทหาร เราก็เดินทางกันต่อ 


วัดแรกที่เราได้มีโอกาสแวะคือ 'วัดพระธาตุห้าดวง'  เวียงห้าหลัง หรือ วัดดอยเวียง 
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 106 ที่ห่างจากที่ว่าการอำเภอลี้ไปทางใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร
สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เป็นเวียงเก่าลี้ เพราะมีซากกำแพงและคูเมืองตั้งเป็นแถว เป็นที่ตั้งของหมู่เจดีย์ 5 องค์ 



มีตามตำนานเล่าว่า พระนางเจ้าจามเวี กษัตริย์ครองเมืองหริภุญไช ด้ยินข่าวจากราษฎรเมืองลี้ว่ามีดวงแก้ว 5 ดวง ปรากฏเห็นอยู่บ่อยครั้ง จึงได้เสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง เวลากลางคืนจึงได้ทอดพระเนตรเห็นแสงสว่างจากดวงแก้วทั้ง 5 ดวง ลอยอยู่บนกองดิน 5 กอง จึงได้สอบถามความเป็นมาก็ทราบว่า คือพระเมโตธาตุ (น้ำไคลมือ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าที่เคยล้างพระหัตถ์ และน้ำก็ไหลผ่านปลายนิ้วทั้ง 5 ลงพื้นดิน พระนางจึงเกิดศรัทธาสร้างพระธาตุเจดีย์ครอบกองดินทั้ง 5 กองไว้ และในวันที่ 20 เมษายน ของทุกปี จะมีประเพณีสรงน้ำพระธาตุห้าดวง

กระเหรี่ยงน้อย 




และวัดสุดท้ายก่อนจะตรงสู่อุทยานแม่ปิงที่เราได้แวะคือ 
วัดมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย หรือ ชเวดากอง จำลอง 

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย ตั้งอยู่ที่ หมู่ 8 ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน ใกล้วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม 


 
เสา (ร์)
ก่อนที่จะสร้างพระมหาเจดีย์ หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา ได้พบมูลโคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่ทรงมาใช้ชาติเป็นโคพระโพธิสัตว์ และมูลโคนี้ก็ได้กลายสภาพเป็นพระบรมธาตุ จึงมีความตั้งใจที่จะสร้างพระมหาเจดีย์ธาตุ ครอบทับสถานที่แห่งนี้ไว้ 

หลังจากนั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ประทานนามพระมหาเจดีย์นี้ว่า “พระมหาเจดีย์ศรีเวียงชัยพุทธเจดีย์พระเจ้า 5 พระองค์” 
สิ่งสักการะแทนองค์พระศาสดาทั้ง 5 ของภัทรกัปแห่งแรกที่สร้างด้วยศิลาแลงทั้งองค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เส้นขนานของสองวัฒนธรรม

วัดที่นี้ สีทองอร่ามของเจดีย์แต่ละวัดตัดกับแสงแดดได้อย่างชัดเจน พิธีกรรมของชาวกระเหรี่ยง และชุดกระเหรี่ยงที่พวกเขาใส่เข้าวัดมา ยิ่งทำให้วัดที่นี่ดูแปลกตาไป 

ตอนที่เดินสวนกันกับชาวกระเหรี่ยง ผ้าทอธรรมชาติของพวกเขา กับเสื้อยืดผลิตโรงงานของพวกเรา มันเหมือนกับ เส้นขนานของสองวัฒนธรรม




จากนั้นอีกประมาณ เกือบๆ ชั่วโมง เราก็ถึง 'อุทยานแห่งชาติแม่ปิง' อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 32 ของประเทศไทย  
ที่นี้เดิมมีชื่อว่าอุทยานแห่งชาติแม่หาด-แม่ก้อ ประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 มีพื้นที่ 1,003 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และอำเภอสามเงา จังหวัดตาก 




จุดหมายแรกที่เราตรงดิ่งพุ่งเข้าหาคือ 'น้ำตกก้อหลวง' น้ำตกที่ถูกยกขึ้นหิ้งเป็น UNSEEN THAILAND น้ำตกสีมรกต ที่ทำเอาฉันตะลึง ตาเล็กๆของฉันเบิกกว้างขึ้น เมื่อมองเห็นน้ำสีฟ้า และปรากฏการณ์สายรุ้งที่พาดผ่านน้ำตกนี้   มันเป็นน้ำตกแรกที่ทำให้ฉันนึกว่าฉันอยู่สวรรค์อยู่







น้ำตกก้อหลวงเป็นน้ำตกหินปูนที่เกิดจากลำน้ำในห้วยแม่ก้อ ไหลผ่านหินดินดานเทาดำและหินทรายของหน้าผาที่มีความสูงต่างระดับกันลดหลั่นกันลงมามีทั้งหมด 7 ชั้น มีหินปูนและมีน้ำไหลตลอดปี เลยทำให้บริเวณน้ำตกมีหินงอกหินย้อยมากมายสวยงามตามธรรมชาติ บริเวณน้ำตกยังมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ความลึกอยู่ที่ระดับประมาณ 8 เมตร และมีปลาชนิดต่างๆ อาศัยอยู่มากมาย




ฉันรู้สึกว่าน้ำตกนี้ให้ความรู้สึกต่างกับน้ำตกที่อื่นนะ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการมาเที่ยวทะเลมากกว่า อาจไม่ได้มีประการังสีสวยๆ ปลาการ์ตูนนีโมโผล่มาแบบน่ารักๆ แต่ทั้งความสดชื่นของน้ำ สีของน้ำ และความลึกลับของเบื้องล่าง  ทำให้คนหลงรักทะเล กลับหลงรักมันได้ไม่ยากนัก
'แอ่งมรกตขนาดย่อม' ฉันอยากเรียกมันว่าอย่างนั้น






นอกจากจะแช่น้ำเย็นๆฟินๆแล้ว ที่นี้เรายังทำ spa fish ได้ฟรี ปลานับร้อยที่ว่ายกันไปมายัวเยียรอบๆตัว พร้อมกับตอดเอาตอดเอาที่แขนและขา รู้สึกได้ว่าผิวพรรณจะต้องงามเด้งเชียวละ

จุดไฮไลท์อีกจุดที่ควรจะต้องลอง คือการว่ายน้ำเข้าไปตรงสายน้ำตกที่อยู่ในสุดของแอ่งมรกตขนาดย่อมนี้ ตลอดเวลาที่ว่ายจากฝั่งไป ฉันเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นในใจอยู่ตลอดเวลา เพราะความมืดใต้น้ำนั่นทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าขณะที่ว่ายท่าฟรีสไตล์นั่น ใต้พุงตัวเองจะมีตัวอะไรอยู่บ้าง แขนขาสัมผัสได้ถึงแต่กิ่งก้านสาขาของพืชพรรณใต้น้ำ มันทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นว่าอยู่ดีๆอาจจะมีบรรพบุรุษปลาไซส์บิ๊กบึ้มเท่าปลาฉลามโผล่ออกมาทักทาย ถ้าได้เซย์ไฮกันจริงๆฉันว่า ฉันคงจม 

แต่สุดท้ายฉันก็ไปถึงจุดตรงนั้น ไปลอยตัวอยู่ใต้สายน้ำตก  
ถ่าย MV 'ฝนที่ตกทางโน้น เหงาถึงคนทางนี้' เก๋ๆ 





จากแอ่งน้ำที่ให้แหวกว่ายนั้น ยังมีทางไหลของน้ำ น้ำที่ยังคงไหลต่อลงไปยังด้านล่างเรื่อยๆ แค่เอาตัวเองไปนั่งอยู่ตามร่องหิน ปล่อยให้น้ำไหลผ่านสัมผัสร่างกาย ทั้งความแรงของน้ำที่ช่วยนวดตัว ความเย็นที่สดชื่น บรรยากาศรอบตัวที่มีแต่ต้นไม้ ท้องฟ้าที่ดูสงบมีแดดอ่อนๆ  
ห้ตายซิ!! นี้มันอ่างจากุซซี่วิวระดับเทพ




เมื่อความหรรษากับเหล่าปลาในหน้าหนาวสิ้นสุดลง  พวกเราก็เดินทางต่อไปยังที่ซุกหัวนอน  สถานีสุดท้ายของอุทยายแห่งชาติแม่ปิง คือ 'แก้งก้อ'
และช่างเป็นโชคดีของพวกเราเสียนี่กระไร เพราะที่แก้งก้อนี้ มีแค่เรา 3 คน  
กำลังมาแล้วซินะ ... กับความรู้สึกแบบแดจังกึม



แก้งก้อเป็นชื่อเรียกของแก่งหิน จุดหนึ่งใน 32 แก่งหินของแม่น้ำปิง แก่งก้อเป็นเวิ้งน้ำขนาดใหญ่ ที่เกิดจากลำห้วยแม่ก้อไหลมาบรรจบกับแม่น้ำปิง โดยมีระดับน้ำที่สูงขึ้นมาจากเดิมมากหลังจากการสร้างเขื่อน และเป็นครึ่งทางของการสัญจรทางน้ำระหว่างเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก และอ่างเก็บน้ำดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่






เรือนแพของพวกเรา



ที่ที่เราเลือกพักเป็นเรือนแพ เรือนแพที่เราพักมีชื่อว่า แม่ปิง 821 (ริมปิง1) 
แม่ปิง 821 มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เข้าพักได้สูงสุด 6  คน  โดยจะต้องจองผ่านหน้าเพจของอุทยานแห่งชาติแห่งประเทศไทยเท่านั้น (งผ่าน http://dnp.go.th/parkreserve/reservation.asp )
มันใหญ่ก็จริง แต่พวกเราใช้กันจริง แค่ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 3 เตียง อยู่กันแบบอบอุ๊นอบอุ่น ถ้าไม่นับที่ห้องน้ำไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเแค่ถังใบใหญ่ กับขันตักน้ำ ... ช่างเหมาะสมหลือเกินกับหน้าหนาวในเดือนธันวาคม

~ราดขันน้ำไป ดิ้นพล่านๆไป  ซาบซ่าน สุขใจในหน้าหนาวจริ๊งจริง~

และคนผิวแห้งอย่างฉัน ก็ไม่ควรจะอาบเกิน 1  ครั้งต่อวัน 




ที่แก้งก้อนี้มีร้านอาหารร้านเดียว ไม่มีอะไรให้เราต้องวุ่นวายในการตัดสินใจเลือก  
พี่เขาอยู่ที่นี้ครอบครัวเขาอยู่ที่นี้ เขาทำอาหารอร่อยซะด้วย 
เด็ดที่สุดคือ ปลาทอดกระเทียม และไข่เจียว ความกรอบของปลา ความฟูของไข่ กลิ่น สีสัน จานชาม การจัดวาง และรสชาติ รู้สึกเหมือนกำลังอยู่บ้าน 




ปลาทอดกระเทียมที่ฟินเว่อร์


ของดีเสมอ


หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เดินเล่นชมวิว วิวที่นี้สวย น้ำตัดกับภูเขา ภูเขาตัดกับท้องฟ้า มีต้นไม้เรียงๆ กันเป็นแนว มีแค่เสียงลม เสียงนก เสียงหมาเห่าบ้างเป็นบางครั้ง 

ความลงตัว 
มาจากบนเราก็ใช้รถ แต่พอลงน้ำ เราก็ต้องใช้เรือ 










แก้งก้อเป็นจุดตรงกลาง ฝั่งขวานู่น เป็นทางไหลไปทะเลสาบดอยเต่า 












ดาวที่นี้สวยมากเลยนะ มองตรงไหนก็มโนเอาว่าเป็นทางช้างเผือก เป็นดาวแมงป่อง เป็นดาวคันไถ ดาวนู่นดาวนี่ จินตนาการมั่วกันไปหมด 
อาจเพราะว่าเครื่องปั่นไฟดับ เรามีไฟใช้กันแค่เพียงพอที่จะมองเห็นทาง ไม่มีแสงไฟจากบ้านหลังไหน ไม่มีแสงไฟจากตึกใหญ่ๆ  รบกวน... ดาวเลยชัด 

ไม่มีรถวิ่ง ไม่มีเครื่องบินบิน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากฝีเท้าของเราสามคน
 ที่จะมารบกวน... การเก็บดาว 


ก่อนนอน เราไม่ต้องเปิดแอร์ เพราะไม่มีแอร์ให้เปิด 
เรามีแค่หน้าต่างที่เปิดแง้มๆให้ลมหนาวพัดผ่าน มีมุ้งลวดที่ช่วยกันยุง แต่ก็ใช่ว่ายุงจะรอดมาไม่ได้
มีเตียงเดียวคนละเตียง มีหมอน มีผ้าห่ม 
ฉันมีเสื้อกันหนาว 2 ตัว คลุมตัวอันนึง คลุมหัวอันนึง 
ฉันหลับตาลง ..และฉันหลับสนิทมาก   :)




 ที่นี้มีเรือนแพ 3 หลัง คืนนี้มีแค่ 1 หลังที่ถูกเช่า

เรือนแพ 1 หลังมี 6 เตียงคืนนี้มีแค่ 3 เตียงที่ถูกใช้

ที่นี้อากาศหนาว คืนนี้มีแค่น้ำในถังให้ใช้ขันตักราดตัว

ที่นี้มีเครื่องปั่นไฟ คืนนี้มันจะหยุดเมื่อถึงเวลาพักเครื่อง

ที่นี้ไม่มีโทรทัศน์ แต่มีดาว และมีแค่เรา 



ที่  นี้ เ ป็ น ที่ ส ง บ ดี :)





....  โปรดติดตามตอนต่อไป 
พรุ่งนี้เช้า เราจะบุก รร. กัน !!
.. แก้งก้อ เมื่อเราคิดถึงวิทยา (day 2)



Comments

  1. ตอนเริ่ม เขียนได้น่าสนใจมากกกกกกกกกกก
    อยากอ่านต่อทันที เพราะเราคือหนึ่งในคนดู "คิดถึงวิทยา"
    และก็เคยคิดเหมือนกันนะ ว่าจะมี รร แบบนั้น จริงจริงมั้ยนะ...

    ...ส่วนตอนจบ ก้อช่างเฉียบคม อ่านแล้วเห็นภาพคนเขียนกำลังเคลิ้มหลับไป...

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular Posts